‎การออกแบบที่ชาญฉลาด: ‘ความตายของวิทยาศาสตร์’‎

‎การออกแบบที่ชาญฉลาด: 'ความตายของวิทยาศาสตร์'‎

‎วิวัฒนาการเป็นหัวข้อที่ซับซ้อน‎‎ ‎‎(เครดิตภาพ: ภาพวิวัฒนาการผ่านภาพม้าลาย | 

<a href=”http://www.shutterstock.com” target=”_blank”>Shutterstock</a>)‎‎ในหนังสือที่มีอิทธิพลสูงของเขา “โครงสร้างของการปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์” นักปรัชญาวิทยาศาสตร์โทมัส Kuhn นําเสนอความคิดที่ว่าวิทยาศาสตร์ไม่ได้เป็นความก้าวหน้าอย่างค่อยเป็นค่อยไปต่อความจริง แต่เป็นชุดของการก่อความไม่สงบด้วยทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ที่แย่งชิงกันอย่างต่อเนื่อง‎‎บางครั้งมันก็จริง และผู้เสนอ‎‎การออกแบบที่ชาญฉลาด‎‎รักข้อโต้แย้งของ Kuhn‎‎พวกเขาเห็นการออกแบบที่ชาญฉลาด (มักเรียกว่า ID) เป็นวิทยาศาสตร์ใหม่ที่ปฏิวัติวงการและตัวเองเป็นนักปฏิวัติ พวกเขาจินตนาการถึงวิวัฒนาการของดาร์วิน – ครั้งหนึ่งเคยเป็นความคิดที่ปฏิวัติตัวเอง – และสร้างทฤษฎีเกี่ยวกับชีวิตที่อนุญาตให้มีคําอธิบายเหนือธรรมชาติทฤษฎีที่ทําให้พระเจ้าหรือหน่วยงานบางอย่างเหมือนเขามากไม่เพียง แต่เป็นไปได้ แต่จําเป็น‎‎แต่เพื่อที่จะดึงดูดผู้แปลงและชนะเหนือนักวิจารณ์ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ใหม่จะต้องล่อลวง มันจะต้องเสนอสิ่งที่คู่แข่งขาด‎

‎ว่าบางสิ่งบางอย่างอาจจะเรียบง่ายซึ่งเป็นหนึ่งในเหตุผลหลักแบบจําลองดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะถูกนํามาใช้มากกว่าโลกเป็นศูนย์กลางหนึ่งศตวรรษ หรืออาจเป็นพลังอธิบายที่แท้จริง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทําให้วิวัฒนาการกลายเป็นทฤษฎีที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง‎

‎ดังนั้น ID มีอะไรบ้าง? มันอธิบายอะไรได้บ้างว่าวิวัฒนาการทําไม่ได้?‎

‎ในการตอบคําถามนี้จําเป็นต้องตรวจสอบข้อโต้แย้งหลักสองข้อคือความซับซ้อนที่ไม่สามารถต้านทานได้และความซับซ้อนที่ระบุซึ่งผู้เสนอ ID ใช้เพื่อสนับสนุนการอ้างสิทธิ์ของพวกเขาว่า Supreme Being มีหน้าที่รับผิดชอบต่อหลายๆ ด้านหรือทุกด้านของชีวิต‎‎ ความซับซ้อนที่ไม่สามารถต้านทานได้‎

‎ความซับซ้อนที่ไม่สามารถต้านทานได้ยืนยันว่าระบบชีวเคมีบางอย่างในธรรมชาติมีชิ้นส่วนที่เข้ากันได้ดีเกินไปที่จะเป็นผลิตภัณฑ์ของวิวัฒนาการ‎‎ทุกส่วนของระบบที่ซับซ้อนอย่างไม่อาจปฏิเสธได้เป็นสิ่งจําเป็น: นําแม้แต่หนึ่งเดียวและระบบทั้งหมดจะไม่ทํางานอีกต่อไป เนื่องจากชิ้นส่วนของพวกเขามีความซับซ้อนและพึ่งพากันมากระบบดังกล่าวจึงไม่สามารถเป็นผลมาจากวิวัฒนาการผู้สนับสนุน ID จึงโต้แย้ง‎

‎ผู้เสนอหลักของความซับซ้อนที่ไม่สามารถต้านทานได้คือ Michael Behe นักชีวเคมีที่มหาวิทยาลัยลีไฮในเพนซิลเวเนีย ในบรรดาระบบที่ Behe อ้างว่ามีความซับซ้อนอย่างไม่อาจปฏิเสธได้คือ flagellum แบคทีเรียโครงสร้างเหมือนแส้กล้องจุลทรรศน์ที่แบคทีเรียบางชนิดใช้ในการว่ายน้ําและน้ําตกของโปรตีนที่ประกอบขึ้นเป็นระบบการแข็งตัวของเลือดของมนุษย์‎‎ดาร์วินเองยอมรับว่าหากพบตัวอย่างของความซับซ้อนที่ไม่สามารถต้านทานได้ทฤษฎีการคัดเลือกโดยธรรมชาติของเขาจะพังทลายลง‎‎”ถ้ามันสามารถแสดงให้เห็นว่าอวัยวะที่ซับซ้อนใด ๆ ที่มีอยู่ซึ่งอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นจากการดัดแปลงจํานวนมากต่อเนื่องเล็กน้อยทฤษฎีของฉันจะพังทลายลงอย่างแน่นอน” ดาร์วินเขียน‎

‎แต่ไม่พบตัวอย่างที่แท้จริงของความซับซ้อนที่ไม่สามารถต้านทานได้ แนวคิดนี้ถูกปฏิเสธโดยชุมชนวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่‎‎เพื่อให้เข้าใจว่าทําไมสิ่งสําคัญคือต้องจําไว้ว่าข้อโต้แย้งหลักของ Behe คือในระบบที่ซับซ้อนอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ทุกส่วนมีความสําคัญต่อการดําเนินงานโดยรวมของระบบ‎

‎สิ่งที่จําเป็นและมักจะไม่มีการระบุ – พลิกกลับกันคือถ้าระบบที่ซับซ้อนอย่างไม่อาจปฏิเสธได้มีชุดชิ้นส่วนที่เล็กกว่าที่สามารถใช้สําหรับฟังก์ชั่นอื่น ๆ ได้ระบบจะไม่ซับซ้อนอย่างไม่อาจปฏิเสธได้‎

‎มันเหมือนกับการพูดในฟิสิกส์ว่า อะตอมเป็นสิ่งก่อสร้างพื้นฐานของสสารเท่านั้นที่จะค้นพบ ตามที่นักฟิสิกส์มี อะตอมนั้นประกอบด้วยส่วนประกอบที่เล็กกว่าและพื้นฐานกว่า‎‎ด้านพลิกนี้ทําให้แนวคิดของความ

ซับซ้อนที่ไม่สามารถต้านทานได้สามารถทดสอบได้ทําให้มีคุณธรรมทางวิทยาศาสตร์ที่ด้านอื่น ๆ ของ ID ขาด‎‎”ตรรกะของข้อโต้แย้งของพวกเขาคือคุณมีระบบหลายส่วนเหล่านี้และชิ้นส่วนภายในนั้นไร้ประโยชน์ด้วยตัวเอง” Kenneth Miller นักชีววิทยาจากมหาวิทยาลัยบราวน์ในโรดไอแลนด์กล่าว “ทันทีที่ฉันหรือคนอื่นพบชุดย่อยของส่วนที่มีฟังก์ชันอาร์กิวเมนต์นั้นจะถูกทําลาย”‎‎ดูด้วยวิธีนี้ระบบทั้งหมดที่ Behe อ้างว่าซับซ้อนอย่างไม่อาจปฏิเสธได้นั้นไม่ได้‎‎ตัวอย่างเช่นชุดย่อยของโปรตีน flagellum แบคทีเรียถูกใช้โดยแบคทีเรียอื่น ๆ เพื่อฉีดสารพิษเข้าไปในเซลล์อื่น ๆ และโปรตีนหลายชนิดในระบบการแข็งตัวของเลือดของมนุษย์เชื่อว่าเป็นรูปแบบการปรับเปลี่ยนของโปรตีนที่พบในระบบย่อย

อาหาร‎‎วิวัฒนาการใช้ชิ้นส่วนและชิ้นส่วนและนํากลับมาใช้ใหม่‎‎ ความซับซ้อนที่ระบุ‎ข้อโต้แย้งที่สําคัญประการที่สองสําหรับการออกแบบที่ชาญฉลาดมาจาก William Dembski นักคณิตศาสตร์และนักปรัชญาสังกัดสถาบัน Discovery ซึ่งเป็นถังความคิดคริสเตียนในซีแอตเทิลที่ทําหน้าที่เป็นศูนย์กลางประสาทสําหรับการเคลื่อนไหวของ ID‎‎Dembski แย้งว่าธรรมชาตินั้นเต็มไปด้วยตัวอย่างของรูปแบบข้อมูลที่ไม่สุ่มที่เขาเรียกว่า “ข้อมูลที่ระบุที่ซับซ้อน” หรือ CSI ในระยะสั้น‎‎เพื่อให้มีคุณสมบัติเป็น CSI ข้อมูลจะต้องเป็นทั้งที่ซับซ้อนและระบุ ตัวอย่างเช่นตัวอักษร “A” มีความเฉพาะเจาะจง แต่ไม่ซับซ้อน ในทางกลับกัน

credit : operafan.info gimpers.net rupertrampage.com hyperkilometreur.com stateproperty2.com